วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คำถามจากกรณีศึกษา

ได้มีข่าวลือของโนเกียออกมาก็คือ การเข้าสู่ธุรกิจเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเล็ปทอปหรือโน้ตบุ๊ค โดย Kallasvuo ผู้ดำรงต่ำแหน่ง CEO ของโนเกีย ข่าวดังกล่าว ได้เผยแพร่ออกมาหลังจากบริษัท Acer ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อันดับ 3 ได้มีการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น การที่โนเกียจะขยายตลาดดัวยการกระโดดจากธุรกิจหนึ่งไปสู่ธุรกิจหนึ่งนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขยายตลาด ในยามที่ธุรกิจดั้งเดิมของตนเริ่มอิ่มตัว ก็จำเป็นต้องกระโจนเข้าสู่ธุรกิจใหม่ และยังมีคู่แข่งชั้นนำของตลาด ซึงเป็นทั้งผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รวามทั้งโทรศัพท์มือถือ ต่อไปนี้คือ 
  • Apple ที่เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าอย่างมาก
  • HP เจ้าตลาดอันดับ 1 
  • DEll เจ้าตลาดอันดับ 2
  • Acer เป็นเจ้าตลาดอันดับ 3
  • Sony ผู้ผลิตโน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ในชื่อ Vaio รวมถึงโทรศัพท์ในชื่อของ Sony Ericsson
คำถามจากกรณีศึกษา
1. ท่านคิดว่า บริษัท Nokia ตัดสินใจกระโดดข้ามมาทำธุรกิจคอมพิวเตอร์แล็ปทอป เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร จงให้เหตุผลประกอบ
  • จากความเห็นส่วนตัวคิดว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจาก ความน่าเชื่อถือของโนเกียในด้านของแล็ปทอปยังมีน้อยในด้านนี้ อีกทั้งบริษัทคู่แข่งขันนั้นมีความเชี่ยวชาญมากกว่าในสายตาของผู้บริโภค เป็นผลให้การทำการตลาดเพื่อแบ่งส่วนตลาดเป็นไปได้ยาก
2. "โนเกียควรปกป้องตลาดมือถือของตนเองต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องลงมาทำตลาดคอมพิวเตอร์ให้เสียเวลา ซึ่งยังมีช่องว่างอยู่มากมายอย่างตลาดของ Smart-Phone ที่โนเกียสามารถรุกเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจัง" อยากทราบว่า Smart-Phone คืออะไร และท่านเห็นดัวยกับกลยุทธ์ตามดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ อย่างไร
  • Smart Phone หมายถึงโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถพิเศษเพิ่มเติมของ PDA เข้าไป ทำให้สามารถมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น รับส่งอีเมล์ มีปฏิทิน จัดทำตารางนัดหมาย และ contact เป็นต้น เรียกได้ว่า Smart Phone เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมเลยทีเดียว 
  • จากข้อความเห็นดัวย เนื่องจากถ้าพิจารณาจากตลาดมือถือยังถือว่ากว้างมาก นอกจากนั้นโนเกียยังเป็นยี่ห้อมือถือที่ลกค้าให้ความเชื่อมั้น ควรตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากจะเป็นการดีที่สุด
3. บริษัท Apple ซึ่งเดิมเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ในนามของ Macintosh ที่ได้ขยายธุรกิจข้ามมายังอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือในนามของ iPhone และยังสามารถยืนหหยัดทำสำเร็จจนเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วโลก ท่านคิดว่าบริษัท Apple ได้ชูกลยุทธ์ใดในการเข้าถึงกลุมลูกค้า
        Apple ได้ชูกลยุทธ์ด้านการออกแบบสินค้า โดยออกแบบให้เป็นผลิตภัณฑ์แฟชั่น โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคนรุ่นใหม่ที่ชอบเทคโนโลยี ทั้งนี้ตลาดส่วนใหญ่เป็นตลาดระดับบนที่มีรายได้สูง
      การทำกลยุทธ์นี้ แอปเปิ้ลมาพร้อมกับการเปิดตัวเครื่องแมครุ่นใหม่ เพาเวอร์แมคจี 5 ซึ่งมาพร้อมกับประสิทธิภาพของช่องทางรับส่งข้อมูลที่สูงสุดในอุตสาหกรรม โดยเสนอโปรเซสเซอร์เพาเวอร์พีซีจี 5 คู่ความเร็ว 2.0 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งโปรเซสเซอร์แต่ละตัวจะมาพร้อมระบบการรับส่งข้อมูลความเร็ว 1 กิกะเฮิรตซ์ ที่แยกอิสระจากกันเพื่อให้ได้ความจุของช่องทางรับส่งข้อมูลถึง 16 กิกะไบต์ต่อวินาที นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยหน่วยความจำที่มีความจุของช่องทางรับส่งข้อมูลที่สูงสุดในอุตสาหกรรม (หน่วยความจำแบบดีดีอาร์เอสดีแรม 128 บิต ความเร็ว 400 เมกะเฮิรตซ์พร้อมการจัดการข้อมูลที่สูงถึง 6.4 กิกะไบต์ต่อวินาที) อินเทอร์เฟซพีซีไอสำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เร็ว ที่สุดในอุตสาหกรรม (พีซีไอความเร็ว 133 เมกะเฮิรตซ์) และสมรรถภาพด้านกราฟิกของเอจีพี 8 เอ็กซ์โปร์ที่ล้ำหน้า ทั้งหมดนี้บรรจุอยู่ในรูปทรงอะลูมิเนียมที่สวยสะดุดตา ซึ่งมาพร้อมระบบระบายความร้อนใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนสูง

แอปเปิ้ลยังเปิดตัวซอฟต์แวร์ไอแชตเอวีและไอไซต์กล้องวีดีทัศน์ระบบดิจิตอลซึ่งเป็นการบุกเบิกครั้งสำคัญในระบบการประชุมทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติแนวทางการสื่อสารในการติดต่อธุรกิจ สนทนากับผู้ร่วมงาน เพื่อนฝูง และครอบครัว เมื่อผนวกกับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงของ TA มีให้เลือกตั้งแต่ 128 Kbps ถึง 8 Mbps ยิ่งเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับ จี 5 ในการรุกเข้าสู่ตลาด Consumer ในครั้งนี้ได้ง่ายขึ้น




ที่มา  http://wattanachai-mc.blogspot.com/2011/07/nokia.html
         http://www.brandage.com/Modules/DesktopModules/Article/ArticleDetail.aspx?tabID=2&ArticleID=3193&ModuleID=21&GroupID=994

นางสาววิภาดา  จำปางาม บ.กจ. 3/2

คำถามกรณีศึกษา

1. ทำไมยาสีฟันเดนทิสเต้ จึงหนีการเผชิญหน้าเพื่อแข่งขันโดยตรงกับยาสีฟันยักษ์ใหญ่
     - เพราะว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ มีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ทีมีงบไม่อั้น จึงทำให้เดนทิสเต้ไม่อยากที่จะแข่งขันด้วย
2. เดนทิสเต้ได้นำกลยุทธ์อะไรเป็นตับขับเคลื่อน และทำไมจึงใช้กลยุทธ์ดังกล่าว
     - กลยุทธ์ที่ใช้ คือ กลยุทธ์เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม พร้อมมุ่งเป้าไปที่คู่เพิ่งแต่งงานกัน เหตุที่ใช้เพราะว่า เดนทิสเต้ต้องการสร้างความแตกต่างจากยาสีฟันยี่ห้ออื่น รวมทั้งใช้เป็นจุดขายของเดนทิสเต้อีกด้วย
3. ปัจจัยสำคัญอะไร ที่ยาสีฟันเดนทิสเต้ สามารถเข้ามามีส่วนแบ่งตลาดได้ในระยะเวลาอันสั้น
     - มีการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน เพราะโดยส่วนใหญ่ยาสีฟันทั่วไป จะดูแลสุขภาพในช่องปากเป็นหลัก และช่วยระงับกลิ่นปาก แต่เดนทิสเต้ มีจุดขายในเรื่องการระงับกลิ่นปากจากการช่วลลดแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลับนอน อีกทั้งยังสามารถตอบโจทย์ที่ผู้บริโภคต้องการได้ คือ การมีลักษณะเด่นและความแตกต่าง
4. สมมติว่าท่านได้ีรับภาระหน้าที่ในการเจาะตลาดยาสีฟันยี่ห้อหนึ่ง ท่านจะใช้กลยุทธ์ใด และจะกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้ลักษณะเด่นอะไรที่คิดว่ายังพอมีศักยภาพในการทำกำไร รวมทั้งสร้างความพึงพอใจกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
     - กลยุทธ์การให้ข่าวสาร( Public Relation Strategy) เช่น การร่วมมือกับสื่อบางสื่อ เพื่อจัดเทศกาลในโอกาสพิเศษ
      - กลยุทธ์ การใช้พนักงานขาย (Personal  Strategy) เช่น คิดค้นโปรแกรมการให้ผลตอบแทนการขาย ( Incentive Program ) ใหม่ๆ เพื่อเป็นรางวัลแก่พนักงานขายที่ทำยอดขายตามเป้า
     - มีการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ โดยใช้เกณฑ์คุณภาพสูง ราคาสูง เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่า ยี่ห้อยาสีฟันชนิดนี้มีคุณประโยชน์และคุณค่าในสายตาผู้บริโภค
ที่มา : http://www.iimc.co.th/knowledge/8p.html
 นางสาววิภาดา  จำปางาม บ.กจ. 3/2

สรุปท้ายบทที่ 4

สรุป

          การจัดการฐานข้อมูลเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการบริหารองค์การ ทั้งนี้เพราะว่าสารสนเทศจะเป็นประโยชน์ต่อองค์การในการตัดสินใจเพื่อการแข่งขัน ดังนั้นองค์การในปัจจุบันจึงให้ความสำคัญต่อสารสนเทศเพิ่มขึ้น
          การจัดการข้อมูล (Data management) ข้อมูลเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นของกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งในแต่ละวัน ดังนั้นปริมาณข้อมูลก็มีเพิ่มขึ้นตลอดเวลา องค์การจึงต้องมีนโยบายในการจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ ที่รวบรวมมาแล้ว นำมาสร้างเป็นฐานข้อมูลเพื่อลดการซ้ำซ้อน หรือความขัดแย้งของข้อมูล ฐานข้อมูลประกอบด้วยแฟ้มข้อมูล (File) รายการ (Record) ฟิลด์ (Field) ไบต์หรืออักษร (Byte of character) และบิต (Bit) ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด
          ประเด็นหลักในการบริหารข้อมูล คือ (1) ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล (Access) (2) จะต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Security) (3) สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ในอนาคต (Edit) (4) ข้อมูลที่จัดเก็บอาจจะต้องแบ่งเป็นส่วนหรือสร้างเป็นตารางเพื่อง่ายต่อการปรับปรุง (Update) ส่วนต่อประสานผู้ใช้ (User interface) หมายถึง อุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
          การจัดแฟ้มข้อมูล (File management) เดิมจะมีการจัดแฟ้มในลักษณะอิสระ (Conventional file) ของแต่ละหน่วยงานจึงทำให้เกิดการซ้ำซ้อนของข้อมูล การจัดการแฟ้มข้อมูลจะต้องพิจารณาถึง (1) การวางแผนถึงการบริหารแฟ้มข้อมูล ซึ่งจะต้องทราบรายละเอียดของข้อมูลที่ต้องการ (2) การแบ่งประเภทของแฟ้มข้อมูลซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นแฟ้มข้อมูลหลัก (Master file) และแฟ้มรายการปรับปรุง (Transaction file) และ (3) การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูล (File organization) ซึ่งสามารถจัดได้ดังนี้ (1) การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูลแบบตามลำดับ (Sequential file) (2) การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูลแบบตรงหรือแบบสุ่ม (Direct random file organization)
          วิธีการประมวลผล (Processing technique) สามารถทำได้หลายวิธี เช่น (1) การประมวลผลแบบชุด (Batch processing) (2) การประมวลผลแบบโต้ตอบ (Interactive) และ (3) การประมวลผลแบบออนไลน์ (Online processing)
          การจัดการฐานข้อมูลจะมีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 3 ส่วน คือ (1) ภาษาคำนิยามของข้อมูล (Data definition language) (2) ภาษาการจัดการข้อมูล (Data manipulation language) (3) พจนานุกรมข้อมูล (Data dictionary)
          ข้อดีของการจัดการฐานข้อมูล (1) ลดความยุ่งยาก (2) ลดการซ้ำซ้อน (3) ลดความสับสน (4) ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา (5) มีความยืดหยุ่นในการขยายฐานข้อมูล (6) การเข้าถึงฐานข้อมูลและความสะดวกในการใช้สารสนเทศเพิ่มขึ้น
          ข้อเสีย (1) มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญระบบฐานข้อมูล (2) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสร้างฐานข้อมูล (3) การเพิ่มอุปกรณ์ให้ใหญ่ขึ้น (4) ค่าใช้จ่ายทางด้านโปรแกรมประยุกต์
          อุปสรรค์ในการพัฒนาฐานข้อมูล (1) ความผิดพลาดจากการป้อนข้อมูล (2) การสร้างแฟ้มข้อมูลทำได้ยาก (3) ในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
          การออกแบบฐานข้อมูล สามารถออกแบบได้ 3 วิธี คือ (1) รูปแบบข้อมูลแบบลำดับขั้น (Hierarchical data model) (2) รูปแบบข้อมูลแบบเครือข่าย (Network data model) (3) รูปแบบความสัมพันธ์ข้อมูล (Relation data model)
          การบริหารฐานข้อมูล (Database management) ภายในองค์การจะประสบผลสำเร็จจะต้องพิจารณาปัจจัย ดังนี้ (1) การบริหารข้อมูล (Data administration) (2) การวางแผนข้อมูลและวีการสร้างตัวแบบ (Data planning and modeling methodology) (3) การจัดการและเทคโนโลยีฐานข้อมูล (Database technology and management) (4) ผู้ใช้ (User)



นางสาววิภาดา จำปงาม บ.กจ. 3/2

สรุป บทที่ 4 ภาพรวมของการจัดการ : การจัดการฐานข้อมูล

ภาพรวมของการจัดการการ
จัดการฐานข้อมูล(Database Management) คือ การบริหารแหล่งข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อตอบสนองต่อการใช้ของโปรแกรมประยุกต์อย่างมีประสิทธิภาพและลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล รวมทั้งความขัดแย้งของข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในองค์การ ในอดีตการเก็บข้อมูลมักจะเป็นอิสระต่อกันไม่มีการเชื่อมโยงของข้อมูลเกิดการ สิ้นเปลืองพื้นที่ในการเก็บข้อมูล เช่น องค์การหนึ่งจะมีแฟ้มบุคคล (Personnel) แฟ้มเงินเดือน (Payroll) และแฟ้ม สวัสดิการ (Benefits) อยู่แยกจากกัน เวลาผู้บริหารต้องการข้อมูลของพนักงานท่านใดจำเป็นจะต้องเรียกดูแฟ้มข้อมูลทั้ง 3 แฟ้ม ซึ่งเป็นการไม่สะดวก จงทำให้เกิดแนวความคิดในการรวมแฟ้มข้อมูลทั้ง 3 เข้าด้วยกันแล้วเก็บไว้ที่ ศูนย์กลางในลักษณะฐานข้อมูล (Database) จึงทำให้เกิดระบบการจัดการฐานข้อมูล (Database Management system (DBMS) ซึ่งจะต้องอาศัยโปรแกรมเฉพาะในการสร้างและบำรุงรักษา (Create and Maintenance) ฐาน ข้อมูลและสามารถที่จะให้ผู้ใช้ประยุกต์ใช้กับธุรกิจส่วนตัวได้โดยการดึงข้อมูล (Retrieve) ขึ้นมาแล้วใช้โปรแกรมสำเร็จรูปอื่นสร้างงานขึ้นมาโดยใช้ข้อมูลทีมีอยู่ในฐานข้อมูล แสดงการรวมแฟ้มข้อมูล 3 แฟ้มเข้าด้วยกัน
ระบบการจัดการฐานข้อมูล จะมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วนได้แก่

1. ภาษาคำนิยามของข้อมูล [Data Definition Language (DDL)] ในส่วนนี้จะกล่าวถึงส่วนประกอบของระบบการจัดการฐาน   ข้อมูลว่าข้อมูลแต่ละส่วนประกอบด้วยอะไรบ้าง (Data element) ในฐานข้อมูลซึ่งเป็นภาษาทางการที่นักเขียนโปรแกรมใช้ในการ สร้างเนื้อหาข้อมูลและโครงสร้างข้อมูลก่อนที่ข้อมูลดังกล่าวจะถูกแปลงเป็นแบบฟอร์มที่สต้องการของโปรแกรมประยุกต์หรือในส่วนของ DDL จะประกอบด้วยคำสั่งที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างข้อมูลว่ามีคอลัมน์อะไร แต่ละคอลัมน์เก็บข้อมูลประเภทใด รวมถึงการเพิ่มคอลัมน์ การกำหนดดัชนี เป็นต้น
2. ภาษาการจัดการฐานข้อมูล (Data Manipulation Language (DML) เป็นภาษาเฉพาะที่ใช้ในการจัดการระบบฐานข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นการเชื่อมโปรแกรมภาษาในยุคที่สามและยุคที่สี่เข้าด้วยกันเพื่อจัดการข้อมูลในฐานข้อมูล ภาษานี้มักจะประกอบด้วยคำ สิ่งที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถสร้างโปรแกรมพิเศษขึ้นมา รวมถึงข้อมูลต่างๆ ในปัจจุบันที่นิยมใช้ ได้แก่ ภาษา SQL(Structure Query Language) แต่ถ้าหากเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ DBMS มักจะสร้างด้วยภาษาโคบอล (COBOL language) ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) และภาษาอื่นในยุคที่สาม
3. พจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) เป็นเครื่องมือสำหรับการเก็บและการจัดข้อมูลสำหรับการบำรุงรักษาในฐานข้อมูล โดยพจนานุกรมจะมีการกำหนดชื่อของสิ่งต่างๆ (Entity) และระบุไว้ในโปรแกรมฐานข้อมูล เช่น ชื่อของฟิลด์ ชื่อของโปรแกรมที่ใช้รายละเอียดของข้อมูล ผู้มีสิทธิ์ใช้และผู้ที่รับผิดชอบ แสดงส่วนประกอบของระบบการจัดการฐานข้อมูล

นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดอุปสรรคในการพัฒนาระบบข้อมูล

1 ความผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลเข้าย่อมมีผลกระทบกับหน่วยงานอื่นทีนำข้อมูลนั้นไปใช้เนื่องจากไม่มี ข้อมูลอื่นที่มาเทียบกับข้อมูลในฐานข้อมูลชุดนั้น
2. สร้างแฟ้มข้อมูลร่วมเพื่อตอบสนองกับองค์การ ทุกแผนกกระทำได้ยากเนื่องจากแต่ละแผนกอาจจะต้องการได้ข้อมูลในความละเอียดที่ไม่เท่ากัน ผู้จัดการระดับล่างต้องการใช้ข้อมูลเพื่อการทำงานวันต่อวัน แต่ผู้บริหารระดับสูงต้องการใช้ข้อมูลเพื่อการวางแผน ดังนั้นการออกแบบฐานข้อมูลจึงทำได้ยากมาก
3. ในเรื่องของความปลอดภัยทั้งนี้เนื่องจากทุกแผนกมีการใช้ข้อมูลร่วมกันจึงต้องมีการสร้างระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล จะต้องมีการกำหนดรหัสผ่าน (Password) และการจัดลำดับความสำคัญของงาน (Priority) รวมถึงการกำหนดสิทธ์ในการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งเป็นการยุ่งยากสำหรับการใช้ฐาน ข้อมูลร่วมกัน ไม่เหมือนกับระบบเดิม ทุกแผนกมีสิทธิ์ใช้ เครื่องของตนเองได้เต็มที่ มีอิสระในการตัดสินใจ

ส่วนข้อดีในการจัดการฐานข้อมูล

1 ลดความยุ่งยากของข้อมูลภายในองค์การโดยรวมข้อมูลไว้ที่จุดหนึ่งและผู้ควบคุมดูแลการใช้ข้อมูล การเข้าถึงข้อมูล การนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์และดูแลความปลอดภัย
2. ลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล (Redundancy) ในกรณีที่ข้อมูลอยู่เป็นเอกเทศ
3. ลดความสับสน (Confusion) ของข้อมูลภายในองค์การ
4. ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโปรแกรมและการบำรุงรักษาภายหลังจากระบบสมบูรณ์แล้วจะลดลงเมื่อเทียบกับแบบเก่า
5. มีความยืดหยุ่นในการขยายฐานข้อมูล การปรับปรุงแก้ไขทำได้ง่ายกว่า
6. การเข้าถึงข้อมูลและความสะดวกในการใช้สารสนเทศมีเพิ่มขึ้น

นางสาววิภาดา จำปางาม บกจ 3/2

Google มีการสืบค้นข้อมูลโดยวิธีใด

เทคนิคการสืบค้นบนGoogle - Presentation Transcript


1.  Google จะใช้ and ( และ ) อยู่ในประโยคเสมอ >>> ในกรณีที่ต้องการให้ ค้นหาคำใดคำหนึ่งก็ได้ ให้ใช้ OR เชื่อมคำ ( พิมพ์ตัวเชื่อม OR ด้วยอักษรตัวใหญ่ ) เช่น “ travel guide” hongkong OR singapore
2.  Google จะละคำทั่วๆไป หรือคำประเภท commond word ( เช่น the, to, of a , an) และตัวอักษรเดี่ยว เพราะจะทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำพวกนั้นสามารถช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้น ก็ต้องใช้เครื่องหมาย + ช่วยโดยนำไปอยู่หน้าคำนั้น ( ต้องเว้นวรรคก่อนด้วย ) เช่น back +to nature หรือ final fantasy +x >>> ค้นคำพ้อง โดยใช้เครื่องหมาย ~ (tilde) เช่น ~food ~facts เพื่อค้นหาเรื่องที่เกี่ยวกับ food facts, nutrition facts, cooking information >>> ถ้าไม่ต้องการให้คำใด ให้ใส่เครื่องหมาย – นำหน้าคำนั้นแล้วตามด้วยเครื่องหมาย / เช่น ต้องการค้นคำว่า virus ซึ่งหมายถึงเชื้อไวรัส ที่ไม่ใช่ไวรัสคอมพิวเตอร์ virus – computer/
3. ปุ่ม “ I’m feeling lucky ” หรือ “ ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย ” เป็นการสั่งให้ค้น และแสดงผลตรงไปที่เว็บไซต์ซึ่งตรงกับคำค้นมากที่สุด เพียงเว็บไซต์เดียว เพื่อความสะดวกรวดเร็ว เช่นพิมพ์คำค้น stanford จะได้ผลการค้นเป็นเว็บไซต์ที่มีความหมายตรงที่สุด คือ Stanford University Homepage
4. การค้น Domain Search ระบุให้ค้นเฉพาะภายใน domain ที่ต้องการเท่านั้น ให้ใช้ site: <domain name> เช่น ต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการรับเข้าศึกษาต่อ ภายในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด admission site: www.stanford.edu หรือ admission site:www.su.ac.th
5.  Who Links To You? ต้องการทราบว่ามีเว็บเพจใดบ้างที่ทำ link เชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์นี้ โดยใช้คำสั่ง link:<siteURL> ตัวอย่างเช่น link:www.google.com
6. พยากรณ์อากาศ ของเมืองต่างๆ ทั่วโลก ( ภายในช่วงระยะเวลา 4 วัน ) ให้ใช้ weather เช่น weather Bangkok หรือ weather London
7. ค้นหาภาพ โดยใช้ Google Image Search โดยเฉพาะ หรืออาจใช้วิธีพิมพ์คำว่า pics หรือ pictures ต่อท้ายคำค้นก็ได้ เช่นหาภาพพระอาทิตย์ตก ใช้คำค้นว่า sunset pictures หรือ sunset pics
8. พจนานุกรมฉบับ Google อีกความสามารถของ google คือ การค้นหาความหมายหรือ คำจำกัดความของคำศัพท์ (definition ) ของคำศัพท์นั้น ด้วยคำบังคับว่า define แล้วตามด้วยคำศัพท์ที่ต้องการ เช่น define blog เป็นต้น blog เป็นคำย่อของ Weblog
9. หาไฟล์ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ HTML Google สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ HTML ได้ประเภทไฟล์ที่รองรับคือ - Adobe Portable Document Format ( นามสกุลของไฟล์ pdf) - Adobe PostScript ( นามสกุลของไฟล์ ps) - Lotus 1-2-3 ( นามสกุลของไฟล์ wk1, wk2, wk3, wk4, wk5, wki, wks, wku) - Lotus WordPro ( นามสกุลของไฟล์ lwp) - MacWrite ( นามสกุลของไฟล์ mw) - Microsoft Excel ( นามสกุลของไฟล์ xls) - Microsoft PowerPoint ( นามสกุลของไฟล์ ppt) - Microsoft Word ( นามสกุลของไฟล์ doc) - Microsoft Works ( นามสกุลของไฟล์ wks, wps, wdb) - Microsoft Write ( นามสกุลของไฟล์ wri) - Rich Text Format ( นามสกุลของไฟล์ rtf) - Text ( นามสกุลของไฟล์ ans หรือ txt)
10. วิธีใช้ filetype: นามสกุลของไฟล์ เช่น &quot;Chrono Cross&quot; filetype:pdf หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF และมันยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบของ HTML ได้ ( โดยคลิ้ก View as HTML หรือ รูปแบบ HTML ใน Google ไทย )
11. เครื่องคิดเลขออนไลน์ Google สามารถใช้เป็น เครื่องคิดเลข ได้ด้วย โดยใช้เครื่องหมาย + ( บวก ) – ( ลบ ) * ( คูณ ) / ( หาร ) % of ( เปอร์เซ็นต์ ) ^ ( ยกกำลัง ) ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการคำนวณค่า 5+(2*2) หรือ 10^5 หรือ 45% of 39 หรือ 5684789+25412 ก็ไม่ต้องไปหาเครื่องคิดเลขที่ไหน หรือเปิดใช้งานโปรแกรมเครื่องคิดเลขให้เสียเวลา แค่เข้าเว็บไซต์ google แล้วพิมพ์ ตัวเลขที่ต้องการคำนวณ แล้วกด <Enter> เราก็จะได้ผลลัพธ์จากสูตรคำนวณดังกล่าว รวดเร็ว และสะดวกแน่นอน
12. ตัวอย่างการคำนวณโดยใช้เครื่องหมายต่างๆ ควบคุมลำดับการคำนวณ () 5! หาค่า factorial ! หาค่า pi Pi sin(45) หาค่า sin,cos,tan ของ .. sin() , cos() , tan() 5th root of 32 หารากที่ .... ของ .... th root of sqrt(9) หารากที่สองของ ... sqrt() 8%7 หารเอาเศษ % 5^2 ยกกำลัง ^ 50/10 หาร / 7*8 คูณ * 30-15 ลบ - 3+17 บวก + ตัวอย่าง ความหมาย เครื่องหมาย
 13.นอกจากนี้ยังสามารถใช้แปลงค่าต่างๆ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงิน มาตราหน่วยวัดต่างๆ ได้ด้วย เช่น 100 USD in GBP ( เพื่อถามว่า 100 US$ เท่ากับกี่ British pounds) หรือพิมพ์ว่า currency of japan in Thai money หรือ 100 thai money in yen หรือ 1 USD in thai money เป็นต้น สำหรับการแปลงค่าหน่วยวัดต่างๆ ก็ทำได้ลักษณะคล้ายๆกัน เช่น 100 cm เท่ากับกี่นิ้ว ก็ระบุเป็น 100 cm in inch หรือ 5 kilometers in miles ( เพื่อถามว่า 5 กิโลเมตรเท่ากับกี่ไมล์ ?) รูปแบบไม่ยากเลย แค่ระบุ ค่าแรก in ค่าที่สอง
14. วิชามาร ใน Google ที่ให้ได้มาซึ่งทุกอย่าง ที่อยากดาวน์โหลด ในอินเตอร์เน็ต คำแนะนำ คุณสามารถใช้วิธีนี้ ในการหาดาวน์โหลดโปรแกรม แคร็ก ซีดี คีย์ หรือต่างๆนานา ที่คุณอยากได้ วิธีที่หนึ่ง พิมพ์คำเหล่านี้ ใน Google Search (1) “ parent directory &quot;DVDRip -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums (2) &quot; parent directory &quot;Xvid -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums (3) &quot; parent directory &quot; Gamez -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums (4) &quot; parent directory &quot; MP3 -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums (5) &quot; parent directory &quot; Name of Singer or album -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums หมายเหตุ ให้คุณเปลี่ยน คำที่ตามหลัง parent directory เช่น MP3 Gamez appz DVDRip เป็นสิ่งที่คุณอยากได้ แล้วก็ค้นหา คุณจะพบกับ ความมหัศจรรย์ใน Google
15. วิธีที่สอง พิมพ์คำต่อไปนี้ใน Google ?intitle:index.of? mp3 จากนั้นแค่เพิ่มชื่อ เพลง อัลบั้ม นักร้อง ลงไป เช่น ?intitle:index.of? mp3 myfavoritesongs

แหล่งอ้างอิง
  • www.google.co.th

  • http ://kukky.pepzaa.com/knowledge/search-google/
  • http :// agro.psu.ac.th / it / index.php ? option = com_content&task = view&id =30&Itemid=43 0&Itemid=43
  • http://stang.sc.mahidol.ac.th/text/pdf/google.ppt
  • http :// schq . mi . th / pdf / Google_technic220851 . pdf
  • http :// library . cph . chula . ac . th / Orientation%202008 / The%20College%20Learning%20Resources . pdf




นางสาววิภาดา จำปางาม บ.กจ.3/2

วอลมาร์ท

คลื่นลูกที่4

     เมื่อวานมีม็อบชาวนาปิดถนนที่อยุธยาจุดเริ่มสายเอเชียก่อนที่จะเข้าตัวเมืองอยุธยา ผมเองก็เป็นคนนึงที่ได้รับผลกระทบนี้เหมือนกัน เพราะต้องเดินทางจากอยุธยาเข้ากรุงเทพ เลยต้องเลี่ยงสายเอเชียออกทางถนนสายโรจนะ-วังน้อย ก็เสียเวลาเยอะเหมือนกัน แถมได้ยินคนขับรถเมล์บ่นๆด้วยว่าเปลี่ยนเส้นทางอย่างงี้ต้องทำรายงาน และยังต้องเติมน้ำมันเองแล้วไปเบิกเงินคืนทีหลังอีก เฮ้อ!! แต่ก็เข้าใจล่ะนะว่าคนเราเมื่อเดือดร้อนก็ต้องการที่พึ่ง ม็อบชาวนาก็เป็นเหตุการณ์นึงที่มีให้เราเห็นอยู่เรื่อยๆ น่าเห็นใจนะครับ ถ้ามาลองคิดๆดูน้ำก็เพิ่งจะท่วมเกือบทั่วประเทศ ผลผลิตก็แทบจะไม่ได้เก็บเกี่ยวกันเลย พอผ่านน้ำท่วมทำนาได้แล้วข้าวก็มาราคาต่ำซะอีก แล้วพี่น้องเกษตรกรจะอยู่ยังไง ผมเองก็เคยอ่านบทวิเคราะห์เรื่องราคาข้าวอยู่เหมือนกัน ก็คิดว่าราคาข้าวสารในบ้านเราน่าจะถูกกว่านี้ และในทางกลับกันราคาข้าวส่งออกน่าจะแพงกว่านี้้เพราะประเทศไทยเราเองก็ผลิตข้าวส่งออกได้เป็นอันดับต้นๆอยู่แล้ว
     เอ...พูดมาตั้งนานม็อบชาวนามันเกี่ยวอะไรกับเอมสตาร์เนี่ย เกี่ยวครับ พอดีที่เดินทางมาก็เพื่อเข้ารอบเซ็นเตอร์ ICDS Happyland ซึ่งเป็นวันนัดเทรนนิ่งของกลุ่มเราเป็นประจำทุกวันอังคารอยู่แล้ว ซึ่งผมเองก็ได้รับมอบหมายให้เทรนนิ่งในหัวข้อ "การการติดตามช่วยเหลือดาวน์ไลน์" หัวข้อเทรนนิ่งของผมก็ไม่ต้องพูดถึง ก็พอเอาตัวรอดได้(อิอิ) แต่ที่มาสัมพันธ์กับเรื่องม็อบชาวนานี่ก็เพราะว่า พี่ตังส์ ชัยณรงค์ สีมาพลกุล อัพไลน์ สอนหัวข้อแนวคิด "คลื่นลูกที่4" พอดี เนื่อหาดีมากๆ ซึ่งก็มีเรื่องชาวนามาเกี่ยวด้วยนั่นเอง
ผมก็จะเล่าในสิ่งที่ได้รับถ่ายทอดมาให้ได้มากที่สุดละครับ ก่อนจะมาถึงยุคคลื่นลูกที่4 ก็ต้องมียุคคลื่นลูกที่1 ยุคคลื่นลูกที่2 ยุคคลื่นลูกที่3 ถึงจะมาเป็นยุคคลื่นลูกที่4 ใช่ไหมครับ งั้นเรามาดูวิวัฒนาการโลกในแต่ละยุคสมัย
กันไปทีละยุคเลยดีกว่า
คลื่นลูกที่ 1 : ยุคเกษตรกรรม  : Agricultural :อยู่ดีมีสุขเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
คลื่นลูกที่ 2 : ยุคอุตสาหกรรม  : Industrial   :แก่งแย่งชิงดี อิจฉา เอาตัวรอด
คลื่นลูกที่ 3 : ยุคข้อมูลข่าวสาร : Information Technology :ยึดติดถือดี ถ้าใช้ในทางที่ดีสร้างสรรค์ (วิวัฒน์) ถ้าใช้ในทางที่ไม่ดีทำลาย (วิบัติ)
คลื่นลูกที่ 4: ยุคเครือข่ายมวลชน : Human Network :ใครสามารถสร้างพลังมวลชนได้มากคนนั้นชนะ

คลื่นลูกที่ 1.ยุคเกษตรกรรม
คลื่นลูกที่4-ยุคเกษตรกรรม1
อาชีพที่ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นรับราชการ ดังที่เคยมีคำกล่าวว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพยาเลี้ยง"
คลื่นลูกที่ 2.ยุคอุตสาหกรรม
คลื่นลูกที่4-2ยุคอุตสาหกรรม
- เริ่มจากการที่มนุษย์สามารถประดิษฐ์เครื่องจักร   เครื่องกลต่างๆขึ้นมาได้
- อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆก็ถูกผลิตตามมา
- ยุคนี้มีโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆเกิดขึ้นมากมาย
การเปลี่ยนแปลงทำให้อาชีพเก่าได้รับผลกระทบ
อาชีพเกษตรกร    คนก็เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นมากขึ้น
อาชีพช่าง    ดีขึ้น
อาชีพแพทย์    ดีขึ้น
อาชีพราชการ    ถูกลดความสำคัญลง
เศรษฐีที่เกิดขึ้นในยุคอุตสาหกรรม
คุณ ธนินทร์ เจียรวนนท์  เจ้าพ่อ CP ทำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมจนร่ำรวย
คุณ เจริญ  สิริวัฒนภักดี  เจ้าพ่อเบียร์ช้าง ทำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมจนร่ำรวยเหมือนกัน
ข้อสังเกตุ      คนที่ประสบความสำเร็จ  คือคนที่รู้จักเลือกอาชีพได้สอดคล้องกับยุคสมัยนั้นๆ
คลื่นลูกที่ 3. ยุคสารสนเทศหรือข้อมูลข่าวสาร
คลื่นลูกที่4-3.ยุคสารสนเทศ
- ยุคข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน
- ผู้คนทั่วโลกสามารถรับรู้เหตุการณ์ต่างๆได้พร้อมกัน
- เศรษฐกิจกระทบถึงกันหมดทั่วโลก
- อุปกรณ์สื่อสารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
- ยุคนี้คอมพิวเตอร์มีผลต่อการทำงานอย่างมาก
- งานไหนที่คอมพิวเตอร์ทำแทนคนได้ งานนั้นคนต้อง .....
- งานที่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำแทนคนได้ คือ งานฝีมือ , งานที่ต้องใช้ EQ  ทำธุรกิจเอมสตาร์ ใช่ไหม ใช่แน่ๆเพราะเป็นงานที่ต้องใช้ EQ สูงมาก (แสดงว่างานนี้สอดคล้องกับยุคที่ 3)
เศรษฐีที่เกิดขึ้นในยุคนี้
บิลล์ เกตส์ เป็นมหาเศรษฐีจากการทำธุรกิจซอร์ฟแวร์
เศรษฐีของเมืองไทยที่เกิดขึ้นในยุคนี้ ก็มาจากการทำธุรกิจสื่อสาร (คงไม่ต้องบอกว่าใคร)
คลื่นลูกที่ 4. ยุคเครือข่าย
4.Network
- การแข่งขันเชิงธุรกิจจะรุนแรงจนแข่งกันเจ๊ง
- ธุรกิจขนาดเล็กที่มีอำนาจต่อรองน้อย จะถูกบีบจากธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมมากกว่า วิธีปรับตัวเพื่อความอยู่รอดคือ สร้างพันธมิตร (รวมตัวกันเป็น เครือข่าย )
- เจ้าของกิจการที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกันก็ต้องรวมกลุ่มเป็นเครือข่าย
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  สภาวะน้ำมันแพง  จะทำให้หน่วยงานต่างๆ ต้องลดจำนวนพนักงานลงเรื่อยๆ
- คนที่อยู่ได้จะต้องเก่งจริงและต้องทำงานหนัก
คลื่นลูกที่4-work-hard
- ในอนาคตรูปแบบการจ้างงานมีแนวโน้ม  ที่จะจ้างเป็นพนักงานชั่วคราว , ฟรีแลนซ์
- คนที่ทำงานกินเงินเดือนจะยิ่งรู้สึกถึง  ความไม่มั่นคงของชีวิต (เพราะต้องทำงานหนักเกินค่าตอบแทน , ค่าครองชีพสูงจนเงินเดือนไม่
  พอใช้ )
- คนที่ทำงานกินเงินเดือนจะถูกบีบให้ออกมาทำกิจการส่วนตัวโดยปริยาย  แต่กิจการส่วนตัวที่จะอยู่รอดได้ต้องใหญ่และต้องครบวงจร( ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ )
ดังนั้นงานที่จะสอดคล้องกับสภาพของยุคที่ 4 ก็คืองานประเภท
1. คนที่ มีความพร้อม เป็นผู้  ลงทุน (คนรวยอยู่แล้ว)
2. คนที่ ไม่อยากลงทุน เป็นผู้ ลงแรง ก็คือธุรกิจเครือข่าย (MLM)นั่นเอง
    ดังบทความจาก Wall Street Journal นิตยสารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอเมริกา ได้ทำนายไว้ว่า"ในอนาคต   75 % ของสินค้าและบริการทั้งหมดของโลกจะถูกขายผ่านกลไกของระบบ Network Marketing( การตลาดแบบเครือข่าย )"
  J. Paul Getty ได้เขียนไว้ในหนังสือ How To Get Rich  ว่า... “กฎข้อแรกของความสำเร็จคือ
   คุณต้องทำธุรกิจเพื่อตัวเอง เพราะคุณจะไม่มีทางร่ำรวย จากการทำงานให้กับคนอื่น”
เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าเรายังไม่ได้สร้างเครือข่ายอะไรไว้เลยรีบๆนะครับเดี๋ยวจะตกยุค และถ้าวันนี้เราเองทำธุรกิจเครือข่ายอยู่มั่นใจเลยครับว่าเรามาถูกทางแล้ว รีบๆทำให้สำเร็จครับ จะได้เป็นเศรษฐีกันถ้วนหน้า
คลื่นลูกที่4-Right-way-end
      บทสรุปก็คือการจะทำอาชีพอะไรให้ประสบความสำเร็จในชีวิต เน้นนะครับว่าชีวิต เราคงจะต้องดูจากตัวอย่างมหาเศรษฐีหลายๆท่านที่ทำอาชีพตามยุคสมัย หลายคนบอกว่าตัวเองอินเทรนด์ ก็อย่าให้ตกยุคนะครับ ทุกวันนี้เราเข้าสู่ยุคคลื่นลูกที่4 Wave4 ยุคแห่งเครือข่ายกันแล้ว
   แล้วมันเกี่ยวอะไรกับม็อบชาวนาเนี่ย เอาเป็นว่าเกี่ยวแล้วกันนะครับ อิอิ ไว้เจอกันใหม่
ประวัติความเป็นมา
        วอลมาร์ท เป็นชื่อของร้านค้าแนวดิสเคาน์สโตร์สัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งสาขาแรก
ที่มลรัฐอาคันซอ (Arkansas) ในปี พ.ศ. 2505 โดย แซม วอลตัน (Sam
Walton) เพื่อเป็นร้านขายของราคาถูก ปัจจุบันใช้สโลแกนว่า "Save Money
Live Better" แทนสโลแกนเดิม คือ "Always Low Prices, Always"
ซึ่งใช้มาก่อนหน้านี้ 19 ปี วอลมาร์ทยังเป็น "ต้นแบบ" ของร้านค้าประเภทเดียวกันนี้ เช่น เทสโกโลตัส
และคาร์ฟูร์ ในอดีตโลตัสของซีพีที่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2537 ก็ได้นำคนจากวอลมาร์ท
เข้ามาเป็นที่ปรึกษาและวางระบบให้ ในครั้งนั้นวอลมาร์ทเกือบจะเข้ามาขยาย
การลงทุนในไทย แต่ก็เลือกไปที่จีนแทน เพราะเห็นโอกาสทางการตลาดที่ใหญ่กว่า
ภายหลังกลุ่มเทสโก้เข้ามาเทคโอเวอร์โลตัส และเปลี่ยนชื่อเป็น เทสโก้โลตัส
ต่อมาเมื่อมีการร่วมทุนจากต่างประเทศกับกลุ่มค้าปลีกไทยมากขึ้น จึงส่งผลให้
ร้านค้าปลีกในแบบดิสเคาน์สโตร์หรือไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย
มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าวอลมาร์ทจะไม่มีสาขาในประเทศไทย
แต่ในฐานะที่มียอดขายรวมมากที่สุดในโลก
จึงถือเป็น "เบอร์ 1"  และถือเป็น "ตำนาน"
ของร้านค้าปลีกในแนวดิสเคาน์สโตร์

สารสนเทศที่นำมาใช้
RFID ไมโครชิปอัจฉริยะเทรนด์ร้อนปี 2006 ระบุเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องจับตามอง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการ ลดต้นทุนและลดขั้นตอนการทำงาน ระบุความต้องการใช้งานในไทยปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนถึง 3 เท่าตัว
ถึงวันนี้เทคโนโลยีเกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง ซึ่งเทคโนโลยีที่น่าจับตามองมากที่สุดขณะนี้ คือ เทคโนโลยีระบุตัวตนหรือสถานะของวัตถุโดยใช้คลื่นวิทยุ หรือที่เรียกกันว่า RFID (Radio Frequency Identification) โดยในช่วงปีที่ผ่านมามีกระแสการนำ RFID มาใช้ในวงการธุรกิจและมีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องก้าวตามให้ทัน เพราะในต่างประเทศมีการนำไปใช้แล้วอย่างแพร่หลาย ในขณะที่ประเทศไทยเพิ่งเริ่มมีการตื่นตัวเท่านั้น
จากการที่วอลมาร์ทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐ ได้ผลักดันให้ซัพพลายเชนหรือคู่ค้ามีการติดตั้ง RFID แทนบาร์โค้ด โดยปี 2548 วอลมาร์ทบังคับให้คู่ค้าหรือผู้ผลิตสินค้าที่จัดส่งสินค้า 100 อันดับแรก ติดตั้งชิป RFID แทนบาร์โค้ด ส่งผลให้วอลมาร์ทลดการขาดสินค้าลงได้มากกว่า 16 % ทำให้บริษัทวอลมาร์ทเดินหน้าบังคับให้ผู้ค้าติดตั้งระบบขึ้นอีก 300 รายและต้องติดตั้งทั้งหมดในปี 2551
ด้วย RFID เป็นเรื่องใหม่ ทำให้ผู้ประกอบการไทยยังมีข้อสงสัยเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน เรื่องราคา และประโยชน์ที่ได้รับจากการนำระบบดังกล่าวเข้ามาใช้ในองค์กร ถึงแม้ว่าการใช้เทคโนโลยี RFID จะได้รับการกล่าวถึงในกลุ่มของการขนส่งหรือระบบคลังสินค้าค่อนข้างมาก แต่ความเป็นจริง RFID สามารถนำไปใช้ทั้งในภาคธุรกิจการเงิน อุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมเสื้อผ้า อุตสาหกรรมการผลิต แม้แต่งานด้านปศุสัตว์และความมั่นคงของประเทศก็สามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ ได้เช่นกัน
ในเรื่องนี้ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทย เปิดเผยว่า เทคโนโลยี RFID สามารถช่วยการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต จัดเก็บ ขนส่ง และจำหน่ายสินค้า และสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายในภาคอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าตลาดสูง เช่น Access control ระบบความปลอดภัย การบริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เป็นต้น ที่นับว่ามีความสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
จุดเด่นของ RFID ที่สำคัญ คือ การอ่านข้อมูลของฉลากโดยไม่ต้องมีการสัมผัส สามารถอ่านค่าได้แม้ในสภาพที่ทัศนวิสัยไม่ดี หรือสามารถอ่านค่าได้ในขณะที่วัตถุกำลังเคลื่อนที่ เช่น สินค้าที่กำลังเคลื่อนที่อยู่บนสายพานการผลิต พร้อมทั้งทนต่อความเปียกชื้น แรงสั่นสะเทือน การกระทบกระแทก สามารถอ่านข้อมูลได้ถูกต้องรวดเร็ว และสามารถสื่อสารผ่านตัวกลางได้หลายอย่างเช่น น้ำ พลาสติก กระจก หรือวัสดุทึบแสงอื่นๆ ในขณะที่บาร์โค้ดทำไม่ได้
“หากผู้ประกอบการต้องการนำเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้ ลำดับแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่า RFID คืออะไรและต้องการนำไปจัดการควบคุมอะไร เพราะ RFID เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีซอฟต์แวร์ ไม่มีเรื่องเทคโนโลยีและไม่มีเรื่องของสแตนดาร์ท ก็จะไม่เกิดประโยชน์ที่จะนำ RFID ไปติดตั้ง” ดร.พันธ์ศักดิ์ กล่าว
RFID เสริมทัพอุดช่องโหว่ธุรกิจ
สิ่งที่ผู้ผลิตจะได้ประโยชน์จากการใช้ RFID คือ ช่วยในการวางแผนการผลิต การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง การทำสต็อค การส่งสินค้า ทุกวันนี้วอลมาร์ทสามารถบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำ Just in Time Inventory หรือ Reshelf Stocking เมื่อสินค้าหมดจาก shelf แล้ว ผู้ผลิตจะใช้เวลาผลิตและส่งกลับมาที่ shelf ใหม่ จากอดีตใช้เวลา 30 วัน แต่เมื่อนำระบบ RFID มาช่วยในการประเมินทำให้ลดเวลาเหลือเพียง 4 วันเท่านั้น

“RFID สามารถช่วยลดความผิดพลาดจากทำงานของคน ช่วยลดต้นทุนในการสต็อคสินค้า และหากทุก shelf ติดชิปจะช่วยแก้ปัญหาสินค้าไม่เคยขายได้ สินค้าหมดทำให้พลาดโอกาสในการขาย และสินค้าวางผิดตำแหน่ง และช่วยสอบย้อนกลับไปที่แหล่งกำเนิดของสินค้า” คุณสมิทธิ์ สุขสมิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Identify จำกัด ผู้ผลิตชิบ เครื่องอ่านและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของไทย กล่าว
“การนำ RFID ไปใช้ต้องพิจารณาว่ามีความจำเป็นต่อธุรกิจเพียงใด และพันธมิตรในซัพพลายเชนมีแผนที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้หรือไม่ โดยไม่ควรมองเรื่องราคาอย่างเดียวควรมองว่า RFID สามารถช่วยให้ธุรกิจเหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างไร ทำให้ลดขั้นตอนการทำงานหรือไม่อย่างไร ส่วนเรื่องราคาเอาไว้พิจารณาทีหลัง” คุณสมิทธิ์ กล่าวย้ำ
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัท Identify จำกัด ได้ไปติดตั้งและพัฒนาระบบ RFID ให้กับหลายๆ องค์กรชั้นนำ เช่น กลุ่มปูนซีเมนต์ไทย ปตท. แอมเวย์ AIS โรงพยาบาลสมิติเวช สำนักพระราชวัง กรมป่าไม้ การท่าเรือ โดยโซลูชั่นด้าน RFID ที่บริษัท Identify จำกัด ให้บริการประกอบด้วย อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ทั้งเครื่องอ่านสัญญาณและเครื่องลูกข่ายทั้งที่พัฒนาและผลิตขึ้นเอง และนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ ในส่วนซอฟต์แวร์บริษัทให้บริการทั้งซอฟต์แวร์ มิดเดิลแวร์ รวมถึงซอต์แวร์แอปพลิเคชั่น ทั้งจากที่พัฒนาขึ้นเองและพัฒนาร่วมกับพันธมิตร สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ
เช็คสต็อคเรียลไทม์-กระจายสินค้ารวดเร็ว

RFID จะช่วยพัฒนาระบบขนส่งของประเทศ (Logistic) ควบคู่ไปกับเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากลโลก ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้า ทั้งการบริหารจัดการคลังสินค้า สามารถตรวจสอบสินค้าในสต็อคได้ทันที พร้อมทั้งสามารถกระจายสินค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
“นอกจากนี้ ลูกค้าในอุตสาหกรรมยังมีความต้องการนำ RFID เข้าไปในระบบงานที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น อาทิ การติดตามการเคลื่อนไหว การตรวจนับจำนวนสินค้า การนำไปใช้ในกระบวนการผลิต การป้องกันการโจรกรรม การป้องกันการปลอมแปลงสินค้า ในหลายอุตสาหกรรมเช่นการผลิต การขนส่งและโลจิสติกส์ การบริการและการค้า และบริการเงินอิเล็คทรอนิกส์” คุณมนู อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA กล่าว
การนำ RFID มาใช้ในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในโรงงานผู้ผลิตช่วยในเรื่อง การวางแผนการทำงาน เนื่องจากหากติดไมโครชิปไว้กับชิ้นงาน จะทำให้สามารถตรวจสอบกระบวนการทำงานของสินค้าชิ้นนั้นๆ ว่าอยู่ในขั้นตอนใด รวมถึงสามารถวางแผนการบริหารจัดการคลังสินค้าได้
การประยุกต์ใช้งาน RFID จะมีลักษณะการใช้งานที่คล้ายกับบาร์โค้ด แต่สามารถรองรับความต้องการที่บาร์โค้ดไม่สามารถตอบสนองได้ สิ่งที่ RFID ต่างจากบาร์โค้ดก็คือ การจัดเก็บข้อมูลลงบน tags (แผ่นป้าย) การอ่านและเขียนทับ สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องมีการสัมผัส และสามารถอ่านได้ในระยะไกลกว่าเดิม เพราะ RFID มีความสามารถในการส่งสัญญาณวิทยุออกมายังเครื่องรับ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการสัมผัสโดยตรงเหมือนบาร์โค้ดหรือแถบแม่เหล็ก
ที่สำคัญคือ RFID สามารถให้ข้อมูลสินค้าได้มากกว่า ในขณะที่บาร์โค้ดจะบอกได้เฉพาะลักษณะจำเพาะของสินค้า เช่น กำหนดว่าน้ำอัดลมคือน้ำสีดำที่บรรจุในขวด แต่ RFID จะบอกว่าขวดนี้ผลิตเมื่อใด มาจากโรงงานไหน ใช้เวลาขนส่งมาถึงร้านนานเท่าใด และอยู่ในคลังที่เก็บสินค้านานเท่าใดก่อนวางขาย คือ เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจสอบและบันทึกข้อมูลการผลิตการค้าต่างๆ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางผู้บริโภค สามารถบอกได้ว่าสินค้าถูกเก็บที่ไหนบ้าง ขนส่งไปที่ไหนบ้างและวางอยู่บนชั้นเป็นเวลานานเท่าไร และมีจำนวนสินค้าที่ค้างอยู่บนชั้นในร้านค้าปลีกจำนวนเท่าใด กล่าวได้ว่า RFID เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยบริหารห่วงโซ่การผลิตและการจำหน่าย (Supply Chain Management) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“ในอนาคต RFID จะเป็นเรื่องที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญและนำมาใช้ และทุกอย่างจะเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะประโยชน์คือสินค้าสามารถสืบย้อนกลับได้ และเป็นกลจักรที่ทำให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติได้” คุณพิชญา วัชโรทัย ผู้อำนวยการสถาบันรหัสสากล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (GS1) ซึ่งเป็นผู้นำในการร่วมวางมาตรฐานของการเก็บข้อมูลอัตโนมัติ และการสื่อสารอิเล็คทรอนิกส์ในอุตสาหกรรมต่างๆ กล่าว
อย่างไรก็ดี คาดว่าจะต้องอาศัยระยะเวลา 3 – 4 ปี จึงจะเห็นภาพการเทคโนโลยี RFID เข้ามาใช้ในวงการอุตสาหกรรมไทยอย่างแพร่หลาย แต่จะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมทั้งหมด โดยขึ้นอยู่กับแอพพลิเคชั่นที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งในช่วงแรกอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่ใช้ RFID ควบคู่ไปกับระบบรหัสบาร์โค้ด
“ในอนาคตอันใกล้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการอุตสาหกรรมไทย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่นำระบบ RFID เข้ามาประยุกต์ใช้ในทางธุรกิจอย่างแพร่หลาย อันเนื่องมาจากความรวดเร็ว และช่วยลดความผิดพลาดในการบริหารจัดการในองค์กร” คุณพิชญา กล่าวย้ำ
เริ่มต้นใช้ RFID อย่างไร
การจะนำ RFID เข้ามาใช้ในการดำเนินงาน ต้องพิจารณาถึงจุดคุ้มทุนและผลตอบแทนการลงทุน ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าสินค้าของเราคืออะไร มีมูลค่ามากน้อยเพียงใด ซึ่งในการเริ่มต้นดำเนินโครงการต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น จะเลือกใช้อุปกรณ์และซอฟต์แวร์ของผู้ผลิตรายใด ใช้ช่วงความถี่ย่านไหน ต้องใช้มาตรฐานอะไร โดยในขั้นแรกอาจจะเริ่มต้นด้วยการกำหนดความถี่ เพื่อทดลองใช้งานในช่วงความถี่หนึ่ง หากนำมาใช้แล้วได้รับผลตอบแทนที่พอใจ อาจจะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงระบบภายหลัง โดยอาจจะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นควรเลือกอุปกรณ์ที่สามารถรองรับมาตรฐานที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงรองรับโครงสร้างข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป

ผู้ผลิตหรือโรงงานอุตสาหกรรมสามารถนำระบบ RFID มาใช้เพื่อบ่งชี้บรรจุภัณฑ์หรือทรัพย์สิน โดยที่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องอ่านทุกที่ แต่สามารถติดตั้งเฉพาะจุดที่ต้องการตรวจสอบ หรือสามารถใช้อุปกรณ์ประเภท Handheld Reader ที่จะช่วยให้การทำงานสะดวกมากขึ้น ระบบ RFID ยังช่วยให้ทราบข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เช่น ความถี่การนำไปใช้ประโยชน์ การหมุนเวียนหรือเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน คุณภาพการใช้งาน ซึ่งทำให้สามารถวางแผนและปรับปรุงระบบการใช้งานทรัพย์สินและอุปกรณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกที่นำระบบ RFID มาใช้ นอกจากจะได้รับประโยชน์จากศูนย์กระจายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกต่างๆ แล้ว ยังช่วยลดแรงงานที่ต้องใช้ในการสแกนบาร์โค้ดและการตรวจสอบสินค้า ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ รวมถึงระบบข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
ในกรณีของศูนย์กระจายสินค้าที่ต้องมีการแยกสินค้าบนแต่ละพาเลท เพื่อคัดแยกจัดและกระจายสินค้า สำหรับสินค้าที่มีราคาสูงก็ควรจะติด Tag เพื่อตรวจสอบและป้องกันการขโมยสินค้า เมื่อสินค้าเคลื่อนออกจากศูนย์กระจายสินค้า ผู้ค้าปลีกสามารถทราบได้ว่าสินค้าที่ทำการขนส่งนั้นตรงตามใบสั่งซื้อหรือไม่ และเมื่อสินค้ามาถึงร้านค้าก็สามารถสแกนที่กล่องหรือภาชนะโดยอัตโนมัติด้วย Handheld Reader เพื่อนำเข้าสู่ระบบสินค้าคงคลังของร้าน
สำหรับผู้ให้บริการขนส่งและกระจายสินค้านั้น ระบบ RFID ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและให้บริการ พร้อมทั้งลดระยะเวลาในการส่งผ่านข้อมูลเข้าสู่ระบบ และช่วยให้การขนถ่ายสินค้าขึ้นลงรถบรรทุกในจุดขนถ่ายสินค้ามีความรวดเร็วมาก ขึ้น
การนำ RFID ไปใช้เพื่อการตรวจสอบสินค้าในระบบ Cross-Docking สำหรับสินค้าระดับพาเลทที่มาจากโรงงาน เพื่อกระจายไปยังร้านค้าปลีกต่างๆ ทำได้โดยการติด Tag ที่พาเลทสินค้า และติดตั้งเครื่องอ่านที่ประตูที่ต้องการมีการขนถ่ายสินค้าเข้าสู่ระบบ ทั้งยังสามารถนำไปใช้ร่วมกับระบบบริหารจัดการการขนส่งสินค้า โดยสามารถติดตั้งเครื่องอ่านที่บริเวณประตูที่มีการขนสินค้าขึ้นรถ
นอกจากนี้ RFID ยังสามารถระบุตำแหน่งต่างๆ ในบริเวณลานหรือพื้นที่จัดเก็บสินค้าทั้งหมด ซึ่งช่วยลดแรงงานในส่วนเจ้าหน้าที่ที่ต้องใช้ในการตรวจตามสินค้า ช่วยลดระยะทางและเพิ่มความรวดเร็วของรถที่ต้องเข้าออกพื้นที่ต่างๆ พร้อมทั้งทำให้เกิดการปรับปรุงด้านการกระจายสินค้า การวางแผนการผลิต การควบคุมและจัดเก็บสินค้าคงคลัง และการบริหารการเติมเต็มสินค้าในรูปแบบ Vendor-Managed Inventory หรือ VMI เป็นต้น
คาดแนวโน้มตลาด RFID โตต่อเนื่อง
RFID ได้กลายเป็นแนวโน้มทางเทคโนโลยีของโลก ซึ่งจะถูกปรับใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยพบว่าในปี 2000 ตลาดอุตสาหกรรม RFID ในโลกมีมูลค่า 663 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2002 มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 964.5 ล้านเหรียญ และคาดว่าจะมีการขยายตัวของตลาดอย่างต่อเนื่องถึงปีละประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ โดยในปี 2006 คาดว่าจะมีมูลค่าการตลาดอยู่ที่ 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะสูงถึง 11,700 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2011
ในส่วนของกลุ่มที่มีอัตราเติบโตสูงสุดในการนำ RFID มาใช้ คือ กลุ่มการชำระเงินที่เติบโตถึง 76.9 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือการใช้เพื่อติดตามสินค้าในธุรกิจค้าปลีก 62.2 เปอร์เซ็นต์ การใช้ในระบบติดตามกระเป๋าเดินทางในสนามบิน 58.5 เปอร์เซ็นต์ ระบบ Real Time Location System 54.5 เปอร์เซ็นต์ และระบบห่วงโซ่อุปทานที่เติบโต 45.2 เปอร์เซ็นต์

ในตลาดโลกให้การยอมรับเทคโนโลยี RFID เป็นอย่างมาก โดยคาดว่าในปี 2549 ตลาดจะมีการขยายตัวในแง่การนำมาใช้งานในวงกว้างมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเริ่มมีพัฒนาการในการนำ RFID ไปใช้ในรูปแบบต่างๆ มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจซัพพลายเชน
“คาดว่าในไม่ช้า RFID จะเข้ามาแทนบาร์โค้ดได้ อย่างไรก็ตามการจะนำมาใช้ได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับราคาและประโยชน์ที่ได้รับ เนื่องจาก RFID ต้องใช้เงินลงทุนสูงกว่าการใช้บาร์โค้ด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรได้รับกลับมาคือ ประสิทธิภาพและความสะดวกรวดเร็วในการทำงาน” ดร.พันธ์ศักดิ์ กล่าว
สำหรับตลาด RFID ของไทยปีนี้ ในส่วนของซัพพลายเออร์จะมีผู้เข้ามาสู่ธุรกิจนี้เพิ่มมากขึ้น ทั้งทางด้านจำนวนและความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตลาดทางด้านอุปกรณ์ RFID ตลอดจนซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่น สำหรับรองรับงานต่างๆ ทั้งที่นำเข้าจากต่างประเทศ และพัฒนาจากซอฟต์แวร์เฮ้าส์ในประเทศเอง รวมทั้งกลุ่มผู้ให้บริการและพัฒนาระบบสำหรับ RFID ซึ่งจะมีทั้งบริษัทหน้าใหม่และบริษัทในวงการวางระบบไอทีเดิมที่จะขยายเข้ามา เป็นผู้ให้บริการ
“ในอนาคตอีก 5-10 ปี ธุรกิจไทยจะนำ RFID มาใช้งานมากขึ้นกับสินค้าบางประเภท เพราะสินค้าหลายประเภทบาร์โค้ดยังใช้งานได้ดีและมีราคาถูกกว่า โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาไม่แพง การนำ RFID มาติดจึงยังไม่คุ้มกับการลงทุน แต่อย่างไรก็ดีต่อไปจะมีการพัฒนาให้ทั้ง RFID และบาร์โค้ดใช้ควบคู่กัน” คุณสมิทธิ์ กล่าว
ความต้องการใช้งานของลูกค้าในไทยปี 2549 จะสูงกว่าปีก่อนกว่า 3 เท่าตัว จากปัจจัยส่งเสริมในหลายด้าน ทั้งทางด้านราคาของตัวฉลากหรือแทกส์ที่ลดลงมากกว่า 50% ในขณะที่เครื่องอ่านมีความสามารถสูงมากขึ้น รวมถึงการอนุมัติคลื่นความถี่ในย่านต่างๆ สำหรับการใช้งาน RFID ในประเทศ อีกทั้งผู้ประกอบการมีความเข้าใจเทคโนโลยี ทำให้หันมาใช้เทคโนโลยีนี้มากขึ้น
เร่งรัฐหนุน RFID เสริมจุดแข็งอุตสาหกรรมไทย
สิ่งสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยนำระบบ RFID มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ภาครัฐต้องให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง โดยเป็นตัวอย่างในการนำ RFID มาใช้ พร้อมให้ความรู้ความเข้าใจและให้หลักการแนวคิดในการวิเคราะห์จัดการแก่ ประชาชน รวมถึงส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรม RFID ในประเทศไทย เพื่อไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

“ขณะนี้ SIPA ได้มีโครงการสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและวิศวกรรมหรือที่เรียกว่า Thailand RFID Cluster โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยได้แบ่งการพัฒนาเป็น 4 ด้านคือการพัฒนาชิปและบัตร (C-chip & card) การพัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่อการใช้งาน (A- application Software) การพัฒนาเครื่องอ่านและเขียน (T- terminal & reader) และการพัฒนาระบบและมาตรฐานรองรับเพื่อนำไปใช้งานแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ (S- system & solution) ซึ่งวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนคลัสเตอร์ RFID ไม่ได้ต้องการสนับสนุนเรื่องการนำไปใช้งานอย่างเดียว แต่ต้องการให้ผู้ประกอบการไทยสามารถสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาใช้งานเองได้” ดร.พันธ์ศักดิ์ กล่าว
การส่งเสริมเทคโนโลยี RFID ด้านไมโครชิปและแท็ก (chip and tag) เนคเทคได้ให้การสนับสนุนการวิจัย พัฒนาและออกแบบวงจรรวม RFID tag หลายรุ่น อาทิ วงจรรวม RFID tag ย่านความถี่ต่ำ วงจรรวม RFID tag ย่านความถี่สูง (13.56 MHz) และออกแบบวงจรรวม RFID tag สองย่านความถี่ (dual-band RFID tag) นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนบริษัทผู้ผลิตเครื่องอ่าน ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และผู้พัฒนาระบบด้วย เช่น ทำการวิจัยและพัฒนาเครื่องอ่านความถี่ต่ำสำหรับอ่านบัตรประจำตัวบุคคลเพื่อ ควบคุมการเข้าออกสถานที่ โดยได้ทดลองใช้ในงานนิทรรศการวิทยาศาสตร์ฯ ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อเดือนตุลาคม 2547
เนคเทคยังได้ให้การสนับสนุนภาคสังคมด้วย โดยร่วมมือกับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยพัฒนาระบบฉลากยาอิเล็กทรอนิกส์หรือ “ฉลากยาพูดได้” (talking drug label) ซึ่งประกอบด้วยฉลากไร้สาย (RFID label) และเครื่องอ่านที่บันทึกและเล่นเสียงพูดได้อีกด้วย
ในด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์นั้น ได้พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ระบบลงทะเบียนบุคคลด้วย RFID ที่ใช้งานร่วมกับระบบ RFID ที่พัฒนาขึ้น ซึ่งได้ทดลองใช้ในการประชุมสัมมนาเรื่องระบบสมองกลฝังตัว T-Engine เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2547 ที่ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และได้เป็นเป็นที่พอใจ
สำหรับการส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชน ทางศูนย์ได้เป็นแกนนำในการรวมกลุ่มสร้างเครือข่ายเป็นเครือข่ายวิสาหกิจใน นาม Thailand RFID Cluster จัดประชุมระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และเป็นสื่อเชื่อมต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคการศึกษา ตลอดจนส่งเสริมการนำเทคโนโลยี RFID มาประยุกต์ใช้กับบริการสาธารณะในรูปแบบโครงการนำร่อง โดยให้บทบาทภาคเอกชนได้มีส่วนร่วม เช่น โครงการนำร่องยกระดับท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นท่าขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (e-port) ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมศุลกากร การท่าเรือฯ และ สวทช. มีการประยุกต์เทคโนโลยี RFID ในส่วนของระบบ e-toll (ระบบเก็บเงินค่ายานพาหนะผ่านท่า) และระบบ e-seal (ระบบติดตามและตรวจสอบตู้สินค้าด้วยผนึกอิเล็กทรอนิกส์)
โครงการวิจัยและพัฒนาต้นแบบระบบการลงทะเบียนสัตว์และการจัดการฟาร์มด้วย เทคโนโลยี RFID ที่ฟาร์มทดลองของคณะสัตวแพทยศาสตร์ ขณะนี้โครงการกำลังดำเนินอยู่และจะสิ้นสุดภายในปี 2549 ส่วนโครงการนำร่องระบบตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับอุตสาหกรรมกุ้ง (food traceability for shrimp industry) จะเริ่มดำเนินการภายในปลายปี 2549
“RFID เป็นเรื่องใหม่หากต้องการให้ผู้ประกอบการของไทยเป็นผู้ผลิต เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับธุรกิจ ผู้ที่ควรจะมีบทบาทหลักในการเข้ามาผลักดันคือภาครัฐและเอกชนทั่วไป ที่ต้องร่วมมือกันส่งเสริมให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจังในประเทศ ความช่วยเหลือจากภาครัฐอาจทำได้ในหลายรูปแบบ เช่น เริ่มจากการช่วยเหลือผู้ผลิตเครื่องอ่านและแทกส์ หรือป้ายสัญญาณเพื่อให้สามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง” คุณสมิทธิ์ กล่าวเสริม
หากเปรียบเทียบความตื่นตัวและการสนับสนุนจากภาครัฐระหว่างประเทศไทยและต่าง ประเทศแล้ว ประเทศไทยยังถูกทิ้งห่างให้อยู่ข้างหลังพอสมควร ซึ่งเทคโนโลยี RFID ต้องการคนที่มีความชำนาญ และต้องอาศัยเทคโนโลยีอิเล็คทรอนิกส์ชั้นสูง ตลอดจนเงินทุนสนับสนุนการพัฒนา เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐของไทยต้องให้ความสำคัญและหันมาส่งเสริม พัฒนาอย่างจริงจัง
แม้ว่า RFID จะเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานเพียงใด แต่ก็ยังมีปัญหาในการนำมาใช้เช่น ไม่สามารถใช้ข้ามระบบความถี่ได้ รวมถึงไม่สามารถตรวจสอบได้เมื่อสินค้าอยู่นอกเขตคลื่นวิทยุ นอกจากนี้สิ่งที่ควรพิจารณาปรับปรุงเกี่ยวกับระบบ RFID คือ เรื่องของมาตรฐานของระบบ เพราะปัจจุบันผู้ผลิตต่างก็มีมาตรฐานเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความถี่ที่ใช้งานหรือโปรโตคอล (Protocol) ที่ยังไม่สามารถนำแทกส์จากผู้ผลิตรายหนึ่งมาใช้กับตัวอ่านข้อมูลของผู้ผลิต อีกรายหนึ่ง อย่างไรก็ตามหลายองค์กรได้ตระหนักถึงปัญหานี้ และได้เริ่มมีการพัฒนาระบบมาตรฐานขึ้นมา
เชื่อว่าอีกไม่นานนี้เทคโนโลยี RFID จะมีบทบาทมากต่ออุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงการทำงานตลอดสายของซัพพลายเชน ถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่ผู้ประกอบการไทยต้องวิ่งตามเทคโนโลยีนี้ ถ้าหากเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการบริหารข้อมูล อาจเป็นเหตุผลสำคัญให้ผู้บริหารองค์กรต้องตัดสินใจ

http://www.logisticsthaiclub.com/index.php?mo=3&art=477644


นางสาววิภาดา  จำปางาม บ.กจ.3/2

แบบฝึกหักบทที่ 4

1.ทำอย่างไร ที่องค์กรธุรกิจ ที่องค์กรธุรกิจสามารถที่จะใช้เครือข่ายระหว่างองค์กร ในการจัดเก็บ เข้าถึงและแจกจ่ายข้อมูล และสารสนเทศ ไปยังหน่วยงานภายใน และหน่วยงานภายนอกได้
ตอบ  การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน (Sharing of peripheral devices) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้ใช้ สามารถใช้อุปกรณ์ รอบข้างที่ต่อพ่วงกับระบบคอมพิวเตอร์ ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเครื่องพิมพ์ ดิสก์ไดร์ฟ ซีดีรอม สแกนเนอร์ โมเด็ม เป็นต้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพง เชื่อมต่อพ่วงให้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง  
        การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน (Sharing of program and data) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรม และข้อมูลร่วมกันได้ โดยจัดเก็บโปรแกรมไว้แหล่งเก็บข้อมูล ที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ที่ฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง File Server ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมร่วมกัน ได้จากแหล่งเดียวกัน ไม่ต้องเก็บโปรแกรมไว้ในแต่ละเครื่อง ให้ซ้ำซ้อนกัน นอกจากนั้นยังสามารถรวบรวม ข้อมูลต่าง ๆ จัดเก็บเป็นฐานข้อมูล ผู้ใช้สามารถใช้สารสนเทศ จากฐานข้อมูลกลาง ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร ์ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเดินทางไปสำเนาข้อมูลด้วยตนเอง เพราะใช้การเรียกใช้ข้อมูล ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั่นเอง เครื่องลูก (Client) สามารถเข้ามาใช้ โปรแกรม ข้อมูล ร่วมกันได้จากเครื่องแม่ (Server) หรือระหว่างเครื่องลูกกับเครื่องลูกก็ได้ เป็นการประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บโปรแกรม ไม่จำเป็นว่าทุกเครื่องต้องมีโปรแกรมเดียวกันนี้ในเครื่องของตนเอง 
       สามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลได้ (Telecommunication) การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เป็นเครือข่าย ทั้งประเภทเครือข่าย LAN , MAN และ WAN ทำให้คอมพิวเตอร์ สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล ระยะไกลได ้โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ทางด้านการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีการให้บริการต่าง ๆ มากมาย เช่น การโอนย้ายไฟล์ข้อมูล การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การสืบค้นข้อมูล (Serach Engine) เป็นต้น  
      สามารถประยุกต์ใช้ในงานด้านธุรกิจได้ (ฺBusiness Applicability) องค์กรธุรกิจ มีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ เช่น เครือข่ายของธุรกิจธนาคาร ธุรกิจการบิน ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจหลักทรัพย์ สามารถดำเนินธุรกิจ ได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองความพึงพอใจ ให้แก่ลูกค้าในปัจจุบัน เริ่มมีการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย Internet เพื่อทำธุรกิจกันแล้ว เช่นการสั่งซื้อสินค้า การจ่ายเงินผ่านระบบธนาคาร เป็นต้น   
        ความประหยัด   นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า อย่างเช่นในสำนักงานหนึ่งมีเครื่องอยู่ 30 เครื่อง หรือมากกว่านี้ ถ้าไม่มีการนำระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้  จะเห็นว่าต้องใช้เครื่องพิมพ์อย่างน้อย 5 - 10 เครื่อง มาใช้งาน แต่ถ้ามีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้แล้วละก้อ ก็สามารถใช้อุปกรณ์ หรือเครื่องพิมพ์ประมาณ 2-3 เครื่องก็พอต่อการใช้งานแล้ว เพราะว่าทุกเครื่องสามารถเข้าใช้เครื่องพิมพ์เครื่องใดก็ได้ ผ่านเครื่องอื่น ๆ ที่ในระบบเครือข่ายเดียวกัน
       ความเชื่อถือได้ของระบบงาน           นับเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจ ถ้าทำงานได้เร็วแต่ขาดความน่าเชื่อถือก็ถือว่าใช้ไม่ได้ ไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นเมื่อนำระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มาใช้งาน ทำระบบงานมีประสิทธิภาพ มีความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพราะจะมีการทำสำรองข้อมูลไว้ เมื่อเครื่องที่ใช้งานเกิดมีปัญหา ก็สามารถนำข้อมูลที่มีการสำรองมาใช้ได้ อย่างทันที
 http://consult.eduzones.com/banny/3478?page3=2&page2=1&content_id=3478&showbutton=/http:c02/games.narak.com/

2.อะไรคือบทบาทของจัดการฐานข้อมูล การบริหารฐานข้อมูล และการวางแผนที่จะใช้ข้อมูลมาเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกิจ
ตอบ   การบริหารข้อมูล พัฒนาให้เป็นไปตามนโยบายและการควบคุมการเข้าถึงชี้นำการวางแผนความต้องการทรัพยากรข้อมูลที่จัดเก็บระเบียบแล้วพัฒนาแบบจำลองข้อมูลที่จัดระเบียบและสถาปัตยกรรม
ข้อมูล
          การวางแผนข้อมูล เตรียมผนการฐานข้อมูลยุทธศาสตร์และเทคนิคกำหนดโอกาสในการแบ่งปันข้อมูลและโปรแกรมประยุกต์กำหนดกระบวนคำสั่งสำหรับการเก็บข้อมูลกำหนดและบังคับกระบวนคำสั่งและมาตรฐานการปฏิบัติงาน
         การบริหารฐานข้อมูล ใช้การออกแบบฐานข้อมูลเชิงกายภาพ
                                            ใช้การออกแบบฐานข้อมูลเชิงตรรกะ
                                            ใช้การออกแบบฐานข้อมูลและการวางแผนความจุติดตั้งและบำรุงรักษาพจนานุกรมข้อมูล ประเมินและเลือกฮาร์ตแวร์และซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล
3. อะไรคือประโยชน์ของแนวคิดในการรวบรวมฐานข้อมูล การเข้าถึง และการจัดการทรัพยากรข้อมูล จงยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ ผู้ใช้ควรมีทรรศนะต่อข้อมูลว่าเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญที่ต้องเรียนรู้การจัดการที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจในความสำเร็จและความอยู่รอดขององค์กร การจัดการฐานข้อมูลเป็นส่วนสำคัญของโปรแกรมประยุกต์ที่ใช้เทคโนโลยีระบบสารสนเทศสำหรับจัดการทรัพยากรข้อมูลขององค์กร ดังนั้นความพยายามหลักในการจัดการทรัพยากรมีความจำเป็นเพื่อนชดเชยปัญหาที่มีผลมาจากการใช้แนวทางการจัดการฐานข้อมูล คือ การบริหารระบบฐานข้อมูล การวางแผนข้อมูล การบริการข้อมูล
 เช่น การลดความซับซ้อนของข้อมูล การรวบรวมข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อการเข้าถึงจากหลายโปรแกรมและหลายผู้ใช้
4.อะไรคือบทบาทของระบบสารสนเทศในการจัดการระบบฐานข้อมูล
ตอบ ส่วนประกอบพื้นฐานต่าง ๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกันในการจัดเก็บ จัดการประมวลผล และเผยแพร่แสดงผลข้อมูลสารสนเทศ และสนับสนุนกลไกลของผลสะท้อนกลับ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
5.ฐานข้อมูลสารสนเทศนั้นเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการปฏิบัติการภายในองค์กร ให้พิจารณาว่ายังมีฐานข้อมูลประเภทใดอีกที่มีความสำคัญในธุรกิจปัจจุบัน
ตอบ  การใช้ฐานข้อมูลการตลาด การขาย การตั้งยอดขายและเป้าหมายทางธุรกิจอื่นๆ การบริหารสินค้าคงคลัง การบริหารบุคลากร และการบริหารอื่นๆเป็นต้น
6.อะไรคือข้อดีหรือประโยชน์และอะไรคือข้อจำกัดของตัวแบบความสำพันธ์ของฐานข้อมูลที่ประยุกต์ใช้ในทางธุรกิจปัจจุบัน
ตอบ ข้อดี เกิดจากความซับซ้อนขอลเทคโนโลยีที่มีมากขึ้น แนวคิดเชิงการจัดการฐานข้อมูลทำให้เกิดปัญหาจัดการทัรพยากรข้อมูล มีการติดตั้ง DBMS ที่ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายที่สูง และมีความต้องการฮาร์แวร์มากขึ้น
7.จงอธิบายถึงฐานข้อมูล คลังข้อมูล และตลาดข้อมูลในความเข้าใจของนักศึกษา
ตอบ  ฐานข้อมูล  ใช้เพื่อการวิเคราะห์
         คลังข้อมูล ทำการประมวลผล
         ตลาดข้อมูล  คลังข้อมูลขนาดเล็ก เป็นยุทธวิธีเพื่อแก้ปัญหาทางธุรกิจในทันทีทันใด และสามารถปรับปรุงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
8.ทำไมตัวแบบฐานข้อมูลเชิงวัตถุ จึงได้รับการยอมรับในการนำเอามาพัฒนาและจัดการฐานข้อมูลทางธุรกิจบนเว็บ
ตอบ สิ่งที่ขับเคลื่อนคือ อินเทอร์เน็ต เพราะสารสนเทศจำนวนมากข้ามไปบนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นสื่อประสม ความต้องการฐานข้อมูลของธุรกิจเพื่อเก็บ รับ และจัดการข้อมูลประเภทอื่นๆทั้งเอกสาร วิดิทัศน์ และเสียง
9.ทำอย่างไรที่จะนำเอาอินเทอร์เน็ต และ World Wide Web มาใช้ในการจัดการทรัพยากรข้อมูลเพื่อประกอบการทำธุรกิจได้
ตอบ การเข้าถึงสารสนเทสที่มีค่าของฐานข้อมูลภายนอกจากพาณิชย์บริการต่อตรงโดยจ่ายค่าธรรมเนียม หรือจากแหล่งต่างๆบนอินทราเน็ต ทั้งที่มีค่าใช้จ่ายหรือไม่มีค่าใช้จ่าย จากเว็บไซท์จัดเตรียมหน้าเชื่อมโยงหลายมิติของเอกสารสื่อประสมที่ไม่รู้จบเพื่อการเข้าถึงฐานข้อมูลสื่อหลายมิติ ข้อมูลในรูปสถิติของกิจกรรมเศรษศาสตร์และประชากรจากธนาคารข้อมูลสถิติ การเรีกดูหรือการดาวน์โหลด
นางสาววิภาดา จำปางาม  บ.กจ. 3/2